Translate

15 ม.ค. 2564

Digital Assets สินทรัพย์ออนไลน์

Digital Asset (สินทรัพย์ดิจิทัล) คืออะไร

สินทรัพย์ดิจิทัลหรือ Digital Asset ของบ้านเราเป็นคำนิยามใหญ่ๆ ที่รวมของ 3 อย่างเข้าด้วยกัน คือ สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) โทเคนเพื่อการลงทุน (Investment Token) และโทเคนเพื่อการใช้ประโยชน์ (Utility Token) โดยแต่ละคำมีความหมายแตกต่างกันไป ดังนี้

  • Cryptocurrency เปรียบเสมือนเงินดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) หรือ Distributed Ledger Technology (DLT) ประเภทอื่น โดยจุดประสงค์หลักของสกุลเงินดิจิทัลคือเป็นสกุลเงินไว้ใช้จ่ายเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งของบางอย่าง ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดจะเป็นบิทคอยน์ (Bitcoin)



                                                   คำอธิบายสินทรัพย์ดิจิทัลจากเว็บไซต์ของก.ล.ต.

สรุปคือสินทรัพย์ดิจิทัลมีมากกว่าแค่บิทคอยน์นะ

หากใครอ่านมาถึงตรงนี้ ก็น่าจะพอเข้าใจถึงความหมายของคำว่าสินทรัพย์ดิจิทัลดีขึ้น ว่าไม่ได้มีแค่บิทคอยน์หรือเงินดิจิทัลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสินทรัพย์ที่เป็นการลงทุนรูปแบบใหม่ ที่มีการผูกสินทรัพย์หรือโครงการในโลกความเป็นจริงเข้าไปในตัวโทเคน ผ่านการออกแบบที่ช่วยให้ผลกำไรจากสินทรัพย์เหล่านั้นถูกส่งตรงต่อมาให้นักลงทุนได้ไม่ต่างจากการลงทุนในกองทุนหรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินชนิดอื่นในปัจจุบัน แถมยังได้สิทธิประโยชน์ที่แตกต่างและสอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น


หากสนใจการลงทุน Cryptocurrency  สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SE-ED การลงทุนใน Cryptocurrency ให้ได้เงินปลอดภัยไม่ถูกโกง


หากสนใจการลงทุนใน  Bitkub  สามารถสมัครได้ที่




                                                                          Bitkub.com



21 ก.ค. 2563

เงินยุคอาณาจักรฟูนัน

อาณาจักร ฟูนัน (พุทธศตวรรษที่ 6 – 12)
       อาณาจักรฟูนันเป็นรัฐที่รุ่งเรืองอยู่ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 1 – 6 ที่ตั้งของรัฐอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งประเทศกัมพูชา เวียดนามตอนใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย บางตอนของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และภาคใต้ของไทย ลงมาถึงแหลมมลายู ฟูนันรวมตัวกันเป็นรัฐแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นรัฐชลประทานภายในแผ่นดินที่ประชาชนดำรงชีพด้วยการเกษตร โดยใช้น้ำจากระบบชลประทานที่พัฒนาเป็นอย่างดี นอกจากนั้น ฟูนันยังมีเมืองท่าสำหรับจอดเรือและค้าขายต่างประเทศ ฟูนัน จึงมีรายได้จากการค้าขาย การเดินเรืออีกด้วย 
       มีการปกครองระบอบกษัตริย์ มีเมืองต่าง ๆ มาขึ้นด้วยหลายเมือง มีวัฒนธรรมของตนเอง มีการติดต่อกับชาวต่างประเทศ ทั้งในทวีปเอเชียด้วยกันและโลกตะวันตก ชนชั้นสูงเป็นพวกที่พูดภาษากลุ่มภาษามาลาโย-โพลีเนเซีย ชาวจีนว่าพวกชนชั้นพื้นเมืองของฟูนันหน้าตาหน้าเกลียด ตัวเล็ก ผมหยิก สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพวกเนกริโตและเมลานีเซียน ฟูนันมีประวัติความเป็นมา เริ่มจากการรวมตัวกันของผู้คน เป็นชุมชนเล็กขนาดหมู่บ้าน จากหมู่บ้านพัฒนาขึ้นมาเป็นรัฐ วิธีการพัฒนาจากสังคมเผ่าเป็นสังคมรัฐมีปัจจัยและขั้นตอนหลายประการ
                                                                     แผนที่อาณาจักรฟูนัน

เงินตรา ฟูนัน 
         เงินตราที่ใช้จะมีสัญลักษณ์ เกี่ยวกับกษัตริย์ การปกครอง และศาสนา โดยมีลักษณะเป็นเหรียญเงินด้านหนึ่งมีสัญลักษณ์พระอาทิตย์ครึ่งดวงเปล่งรัศมี อีกด้านหนึ่งเป็นรูปพระศรีวัตสะ กลองบัณเฑาะว์ที่พราหมณ์ใช้ในพิธีต่างๆ และมีเครื่องหมายสวัสดิกะซึ่งหมายถึงความโชคดี
          การใช้เหรียญเงินรูปอาทิตย์อุทัยแบบเดียวเป็นเงินตราที่สำคัญ 3 ขนาด ในประเทศไทยมีการขุดพบเหรียญเงินฟูนันที่จังหวัดปราจีนบุรี ชลบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี และลพบุรี เป็นจำนวนมาก และพบตลอดลงไปจนถึงในภาคใต้ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช แต่เป็นชนิดทำด้วยดีบุก เงินตราฟูนันมีลักษณะเป็นเหรียญเงินกลมมี 3 ขนาด ด้านหนึ่งภายในวงกลมชั้นในเป็นรูปอาทิตย์อุทัยครึ่งดวงแผ่รัศมีโดยรอบ คั่นด้วยจุดไข่ปลา ส่วนวงกลมชั้นนอกประดับด้วยจุดไข่ปลาโดยรอบเช่นกัน อีกด้านหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ศรีวัตสะ ด้านบนเป็นพระอาทิตย์และพระจันทร์ มีสวัสดิกะและภัทรบิฐขนาบที่ด้านข้าง ด้านล่างสุดเป็นจุดกลม 3 จุด


รูปตัวอย่างเหรียญฟูนัน


ราคาซื้อขายเหรียญฟูนัน
     สำหรับเหรียญฟูนันนั้นจะมีอายุระหว่าง 1,300 - 1,800 ปี ราคาจะแตกต่างกันออกไปตามวัสดุที่ใช้ผลิตและอายุ สามารถนำไปขายให้กับผู้ที่สนใจได้ราคาอยู่ระหว่าง 600 - 2,000 บาท










25 ม.ค. 2562

ธนบัตร 1000 บาท รุ่นแรก มีแบบใดบ้าง




ธนบัตร 1000 บาท แบบ 1
     ธนบัตรแบบ 1 ถูกจัดพิมพ์ที่บริษัทโทมัสเดอลารูเสร็จเรียบร้อยและส่งมาถึงสยามในปี 2455 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 จึงได้มีพระบรมราชโองการให้ตรา พระราชบัญญัติธนบัตรสยาม ร.ศ. 121 เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2445 ให้ธนบัตรใช้แทนเงินเพื่อสะดวกต่อการนับและการพกพาของประชาชน ธนบัตรที่นำออกมาใช้เป็นรูปตั๋วสัญญาใช้เงินของรัฐบาลสยาม สัญญาจะจ่ายเงินให้แก่ผู้นำธนบัตรมายื่นโดยทันทีและรับคืนเป็นเงินตราโลหะได้ที่กรมธนบัตร กรุงเทพหรือตามพระคลังของรัฐบาลในต่างจังหวัด ซึ่งกรมธนบัตรเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2445 ณ หอรัษฎากรพิพัฒน์ในพระบรมมหาราชวังและมีการเปิดรับแลกธนบัตรเป็นปฐมฤกษ์แก่เหล่าพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ
ธนบัตร 1000 บาท แบบ 1 พิมพ์เพียงด้านเดียวด้วยการพิมพ์แบบสีพื้น ไม่มีความนูนหนาของหมึก มีลายน้ำในเนื้อกระดาษเป็นลายน้ำรูปไอราพต ช้างสามเศียร และลายน้ำข้อความรัฐบาลไทยและราคา ลวดลายบนธนบัตรทุกชนิดราคามีลักษณะคล้ายกันกับชนิดราคาอื่น แต่แตกต่างที่ขนาดและสีสันในแต่ละราคา
ธนบัตร 1000 บาท รุ่น 1 ประกาศออกใช้เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2445
ธนบัตร 1000 บาท รุ่น 2 ประกาศออกใช้เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2452
ธนบัตร 1000 บาท รุ่น 3 ประกาศออกใช้เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2455

ขนาดธนบัตร

12.60 x 20.50 เซนติเมตร

ลวดลายบนหน้าธนบัตร

บริเวณตอนกลางด้านบนมีตราแผ่นดิน ที่มุมทั้ง 4 มีเลขบอกราคาเป็นเลขไทยและเลขอารบิค หมวดอักษรและหมายเลขไทยอยู่ด้านบนขวา หมวดอัษรโรมันและหมายเลขอารบิคอยู่ด้านบนซ้าย พิมพ์วันที่ของธนบัตรไว้ใต้หมวดอัษรและหมายเลขธนบัตร มีอักษรจีนอยู่ในกรอบด้านซ้าย อักษรมลายูอยู่ในกรอบด้านขวา

ลายมือชื่อบนธนบัตร


  • มหิศร - รัชนี
  • มหิศร - พระสุวรรณ
  • กิติยากร - พระมนัส
  • กิติยากร - ไชยยศ
  • กิติยากร - พระยาเทพ
  • ศุภโยค - พระยาเทพ 

    เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ
     - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไชยันต์มงคล กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย (26 ส.ค. 2439 - 1 ก.ค. 2449)
     - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ (17 ก.พ. 2540 - 17 ม.ค. 2465)
     - พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศุภโยคเกษม (17 ม.ค. 2465 - 26 ต.ค. 2472)
    เจ้าพนักงานธนบัตร
     - พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (7 ก.ย. 2445 - 3 มี.ค. 2446)
     - พระสุวรรณภัคดี (5 มี.ค. 2446 - 21 ส.ค. 2452)
     - พระมนัสมานิต (21 ส.ค. 2452 - 1 ม.ค. 2460)
     - พระยาไชยยศสมบัติ (1 ม.ค. 2460 - 6 ธ.ค. 2463)
     - พระยาเทพรัตนนรินทร์ (6 ธ.ค. 2463 - 17 ก.พ. 2468)

  •      ธนบัตร 1000 บาท รุ่น 1 สีด้านในสีเหลืองพิมพ์เป็นสีพื้น ลายน้ำบอกราคาเป็นเส้นคู่ หมายเลขธนบัตรเริ่มที่ จ1 00001

         ธนบัตร 1000 บาท รุ่น 2 เปลี่ยนจากสีพื้นเหลืองเป็นตัวอักษรขนาดจิ๋ว "THOUSAND TICALS" พิมพ์สีน้ำตาลเรียงต่อกันเหมือนลายพื้น หมายเลขธนบัตรเริ่มที่ จ1 10001


    ธนบัตร 1000 บาท รุ่น 3 เพิ่มหมายเลขธนบัตรใต้ลายเซ็นทั้ง 2 ข้าง และเปลี่ยนลายน้ำบอกราคาจากเส้นคู่เป็นเส้นเดี่ยว หมายเลขธนบัตรเริ่มที่ จ1 20001


    ขอขอบคุณเคดิตรhttp://www.siambanknote.com/

    28 ธ.ค. 2561

    ชีวิตจะดีขึ้นด้วยวิธีการคิดบวก


    การคิด+
          คำแนะนำที่เรามักได้ยินบ่อยๆ เวลาทำอะไรผิดพลาด คือคำว่า “ลองมองในแง่ดีสิ” คำๆ นี้มีความหมายในเชิงปลอบใจ แต่ไม่ทำให้ปัญหาที่กำลังประสบหายไป จึงทำให้คำๆ นี้มีความหมายแตกต่างจากคำว่า Positive Thinking ที่ฝรั่งใช้ซึ่งแปลตรงตัวว่า การคิดเชิงบวก
         สิ่งที่ยากที่สุดใน กระบวนการคิดบวก คือ คนเรามักโฟกัสไปยังปัญหาตรงหน้ามากกว่าจะโฟกัสไปที่ภาพรวม ซึ่งบางครั้งก็ทำให้เรื่องเล็กๆที่แก้ไขได้ง่ายดายกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ และยังไปรบกวนประสิทธิภาพในการตัดสินใจของคุณอีกด้วย สิ่งนี้ถูกเรียกว่า ความคิดเชิงลบ
          ความคิดเชิงลบ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นกลไกในการเอาตัวรอด โดยใช้ความกลัวเป็นหลัก แต่หากคนๆนั้นมีความคิดเชิงลบมากๆเข้า จะทำให้กลายเป็นคนไม่กล้าเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ที่แย่กว่านั้นคือมันอาจทำให้คุณพลาดโอกาสดีๆมากมายในชีวิต
          ความคิดบวก เป็นเรื่องของกลไกสมองที่คุณสามารถฝึกได้ ซึ่งคุณต้องตั้งใจในการทำอย่างสม่ำเสมอจนติดเป็นนิสัย 

          การคิดบวกมีผลดีต่อชีวิตของคุณอย่างไร

          การคิดบวกทำให้สุขภาพแข็งแรง
          การมองโลกในแง่ร้ายหรือการคิดลบนั้นมีผลกับสุขภาพของคุณโดยตรง การเป็นคนมองโลกในแง่ลบจะทำให้มีโอกาสที่ร่างกายจะทรุดโทรมกว่าคนที่มองโลกในแง่บวกหรือคิดบวกอย่างเห็นได้ชัด (ผลการวิจัยมากมายต่างสรุปเหมือนกัน)

          การคิดบวกมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของคุณ
          การรักษาความคิดบวกนอกจากจะดีต่อสุขภาพแล้ว พบว่าผู้ที่มีแนวคิดเชิงบวกนั้นมีอัตราการประสบความสำเร็จในการทำงานมากกว่าผู้ที่คิดลบ และมีอัตราการลาออกน้อยกว่าถึงสองเท่า ซึ่งบ่งชี้ว่าเขาเหล่านี้มีความสุขมากกว่า

         วิธีที่ในการปลุกความคิดเชิงบวกให้เกิดขึ้นในตัวคุณ
         1.  แยกข้อเท็จจริงออกจากความเชื่อ

         ก้าวแรกที่สำคัญคือการเรียนรู้ในการโฟกัสไปที่การหยุดความคิดเชิงลบ โดยการจดความกังวล ความกลัวนานับประการแล้วหาคำตอบว่าความกลัวของคุณนั้นมีข้อเท็จจริงมากน้อยเพียงใด มีวิธีป้องกันแก้ไขหรือไม่
         การจดนี้จะช่วยทำให้คุณแยกแยะระหว่างข้อเท็จจริงกับอาการกลัวไปเองที่เกิดจากความเชื่อผิดๆ ออกจากกันและจะช่วยทำให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

         2. ค้นหาความคิดเชิงบวกในตัวคุณ

         คุณจะเริ่มรู้สึกเป็นธรรมชาติมากขึ้นหลังจากฝึกฝนมาซักระยะ มาถึงขั้นตอนต่อไป ขั้นตอนนี้คือขั้นตอนการปรับวิธีคิดของสมอง โดยทุกครั้งที่คุณเริ่มรู้สึกแย่ ให้คุณเตือนตัวเองแล้วลองจินตนาการถึงเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นในวันนั้น อะไรก็ได้ซักอย่างหนึ่ง หากคุณรู้สึกดีขึ้นแสดงว่าสมองของคุณเริ่มคุ้นเคยกับการคิดเชิงบวกแล้ว แต่หากเรื่องราวนี้ไม่ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นเลยให้คุณลองจินตนาการถึงเรื่องราวดีๆ ย้อนกลับไปยังวันก่อนๆ จนพบเรื่องราวที่ทำให้คุณมีความสุขได้
         จุดประสงค์ในการทำเช่นนี้เพื่อดึงสติของคุณกลับมา เพื่อหยุดความคิดเป็นลบที่กำลังเข้ามาบดบังการตัดสินใจของคุณ ขเพื่อแทนที่ความคิดด้านลบด้วยความคิดด้านบวก

            3. ปลูกฝังความคิดที่ทำให้คุณพอใจในสิ่งที่มี

            เริ่มจากให้คุณลองใช้เวลาไตร่ตรองว่าอะไรบ้างในชีวิตของคุณที่ทำให้คุณรู้สึกพึงพอใจ หรือเรื่องที่ทำให้รู้สึกภูมิใจในตนเอง โดยไม่ต้องคำนึงถึงความถูกต้อง คุณสามารถสร้างความรู้สึกพอใจในสิ่งที่มีโดยการโฟกัสไปที่ความคิดเชิงบวกของคุณ ทุกครั้งที่สมองของคุณเริ่มต่อต้าน ให้คุณใช้สิ่งนี้เพื่อรักษาความคิดเชิงบวกของคุณไว้
         
             ถึงแม้ว่าเคล็ดลับทั้งสามข้อนี้จะเป็นเหมือนเรื่องพื้นๆที่ใครๆ ต่างบอกคุณอยู่เสมอ แต่การฝึกฝนให้มีความคิดเชิงบวกนี้จะช่วยทำให้คุณมองเห็นความเป็นไปได้ในทุกโอกาสซึ่งมันจะช่วยให้คุณสามารถสร้างผลงานยิ่งใหญ่อีกมากมายด้วยการเปลี่ยนความคิดนี้

      14 ธ.ค. 2561

      เครดิตบูโร คืออะไร

        

      เครดิตบูโรคืออะไร

        
          สำหรับผู้ที่อยู่ในแวดวงการกู้เงิน คงเคยได้ยินคำว่า เครดิตบูโร กันนะครับ แต่ทราบกันไหมครับว่า คืออะไรและสำคัญอย่างไรกับเรา

            เครดิตบูโร หรือคะแนนเครดิต (credit score) คือ ตัวชี้วัดความน่าจะเป็นในการชาระคืนหนี้ โดยใช้วิธีทางสถิติในการประมวลผลข้อมูล

           สำหรับ บริษัทที่เป็นตัวกลางในการรวบรวมข้อมูลและประมวลผลมาเป็น คะแนนเครดิตนั้นก็คือ เครดิตบูโร หรือ บริษัทข้อมูลเครดิต (National Credit Bureau) คือ บริษัทที่ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเครดิตจากสถาบันการเงินหลายๆ แห่งที่เป็นสมาชิกของเครดิตบูโร นำมารวบรวมประมวลผลเป็นข้อมูลเครดิต โดยสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกจะสามารถเรียกดูรายงานข้อมูลเครดิตได้ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจใสนการอนุมัติสินเชื่อ
         
           ซึ่งฐานข้อมูลเครดิตบูโรประกอบด้วย 
           1. ข้อมูลที่บ่งชี้ถึงผู้ขอสินเชื่อและคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ เช่น กรณีบุคคลธรรมดา คือ ชื่อนามสกุล ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน กรณีนิติบุคคล คือ ชื่อ สถานที่ตั้ง เลขที่ทะเบียนการจัดตั้ง นิติบุคคล หรือเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร เป็นต้น 
           2. รายละเอียดประวัติการขอสินเชื่อ การได้รับอนุมัติสินเชื่อ และ การชำระสินเชื่อประเภทต่างๆ ของบุคคลหรือนิติบุคคล ทุกประเภท ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อธุรกิจ เป็นต้น

            สำหรับผู้ที่ต้องการตรวจสอบ สถานะเครดิตบูโรปัจจุบันของตนเอง สามารถศึกษาได้จากลิ้งค์นี้เลยครับ ตรวจเครดิตบูโร ได้ที่ไหนบ้าง?


      เราสามารถฟื้นฟูเครดิตให้กลับมาดีได้

                  1. การติดแบล็กลิสต์หรือติดเครดิตบูโรตลอดชีวิตนั้นไม่จริง เครดิตรบูโรจะเก็บข้อมูลของเราย้อนหลังเพียง 3 ปีเท่านั้น
            2. พยายามชดใช้หนี้ที่มีอยู่ให้หมดหรือทยอยชำระเป็นงวดๆโดยต้องไม่ล่าช้าและไม่ผิดนัดชำระอย่างเด็ดขาด จนครบ 3 ปี ประวัติเครดิตของคุณก็จะกลับมามีสภาพที่ดีและน่าเชื่อถืออีกครั้ง
            3. หากมีภาระหนี้ที่หนัก สิ่งที่ต้องทำคือติดต่อธนาคารเพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้ภาระหนี้ต่อเดือนของคุณน้อยลงไป และมีเงินเหลือเพียงพอต่อการดำรงชีวิตของคุณในเดือนนั้นๆ

      แนวทางในการสร้างเและบริหารเครดิต


            1. สร้างประวัติเครดิตดีในระบบด้วยการเลือกสมัครบัตรเครดิตสักใบที่เหมาะสมกับการใช้จ่ายประจำของคุณ และแบ่งการใช้จ่ายประจำที่มีอยู่แล้วมาชำระผ่านบัตรเครดิต เช่น จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ซื้อกองทุน หรือซื้อของใช้ในบ้าน ด้วยการผ่อน 0% ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้และชำระค่าบัตรเครดิตให้ตรงเวลา ชำระเงินเต็มจำนวนเสมอ เพื่อป้องกันดอกเบี้ย
            2. อย่าเพิ่งรีบปิดบัตร สำหรับคนที่ใช้บัตรเครดิต และมีประวัติชำระดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้มีความจำเป็นก็อย่าเพิ่งรีบปิดบัตร เก็บประวัติไว้สร้างคะแนนให้เราดีกว่า และอย่าสมัครบัตรใหม่บ่อยจนเกินไป เพราะจะทำให้ดูมีข้อน่าสงสัย
            3. ควบคุมสัดส่วนหนี้ต่อรายได้ประจำ และไม่ก่อหนี้ที่ไม่ก่อประโยชน์ในอนาคต ตัวอย่างหนี้ที่ดี เช่น สินเชื่อเพื่อการศึกษา และสินเชื่อกู้ซื้อที่อยู่อาศัย

          


      21 พ.ย. 2561

      เหรียญ 5 บาท 2529 สุพรรณหงส์ หายากระดับ R3

      ฮือฮา ร้านเหรียญสะสมประกาศซื้อเหรียญ 5 บาท ปี 29 ราคา 1 แสนบาท


            ร้านซื้อ-ขายเหรียญสะสม ได้มีโพสต์รูปภาพเหรียญ 5 บาท รูปเรือสุพรรณหงส์ รุ่นปี พ.ศ. 2529 พร้อมประกาศรับซื้อในราคา 1 แสนบาท แต่ถ้ายังไม่ผ่านการใช้งาน ก็จะมีราคาสูงถึง 3 แสนบาท

            เป็นเหรียญกษาปณ์ต้นแบบ ที่ตีออกมาจำนวนน้อยมากๆ ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 81 ลงวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ.2529 โดยนายสมหมาย ฮุนตระกูล ซึ่งนั่งเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น

            แต่เหรียญรุ่นที่ผลิตมาใช้งานกันจริงๆ นั้นเป็นปี 2530 (5บาทรูปเรือหงส์) เนื่องจาก ขณะนั้นรัฐบาลต้องการลดต้นทุน ในการผลิตเหรียญให้ลดลง จึงลดขนาด จากเดิมที่เป็น เหรียญ5 บาทครุฑเฉียง และ ครุฑหน้าตรงที่เดิมมีขนาด 29.5-30 มิลลิเมตร หนัก 12 กรัม เป็น ขนาด 24 มิลลิเมตรหนักแค่ 7.5 กรัม
      29.5-30 ===>>> 24
      12 กรัม ===>>> 7.5 กรัม (รุ่นล่าสุดในปัจจุบัน หนัก 6 กรัม)
      การที่ เหรียญ 5 บาท รุ่นใหม่ มีขนาดแค่ 24 มิลลิเมตร ซึ่งขนาด พอๆกับ เหรียญบาท รุ่นเรือสุพรรณหงส์ ที่มีขนาด 25 มิลลิเมตร ซึ่งในตอนนั้นก็ยังใช้หมุนเวียนกันเป็นจำนวนมาก ทำให้แม่ค้า ที่ต้องรับต้องทอนเงิน #งงเต็ก#ถอนผิดทอนถูก และมักจะเอา #เมจิก #สีแดง มาเขียนเลข5 ที่บนเหรียญ เพื่อป้องกันการผิดพลาด ที่เอาเหรียญ 5 ไปทอน เพราะนึกว่าเป็นเหรียญบาท
      ส่วนเหรียญ 5 บาท ปี 2529 นี้ หายากมากๆๆ หารูปที่ถ่ายจากเหรียญจริงๆ ยังไม่ได้ ทุกวันนี้ ยังตามหากันอยู่ว่า เหรียญ รุ่นนี้ ไปอยู่กับใคร เท่าที่ได้ยินมาคือ เป็น เจ้าหน้าที่ในโรงกษาปณ์ ในยุคกระโน้นนั้นละครับ ที่เอามาให้ดู แต่ไม่มีใครได้ถ่ายรูปไว้

      15 พ.ย. 2561

      Passive Income ให้เงินทำงานแทนเราดีไหม


           

           เมื่อวานได้อ่านบทความนึงแล้วคิดว่า เออ ใช่คิดเหมือนกันเลย จึงอยากเอามาเล่าต่อครับ ถึงวิธีการให้เงินทำงาน 4 วิธี

               1. สร้างรายได้จากอินเตอร์เน็ตผ่าน Affiliate Marketing

               2. ทำธุรกิจเครือข่ายหรือ การขายตรง

               3. ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

               4. ลงทุนในสินทรัพย์การเงินต่างๆ

           ถ้าหากลองไปถามเพื่อนๆดูว่า “โทษนะ เธอมีความฝันอะไรในชีวิตบ้างเหรอ” 80% ของคำตอบที่ได้รับจะต้องมีคำว่า “อยากมีเงินเยอะๆ” อยู่ด้วย เพราะว่าชีวิตของคนเรานั้น ถ้าไม่มีความต้องการเรื่อง ความรักหรือหน้าที่การงาน มันก็มักจะพาลมาที่เรื่องวุ่นวายที่มีชื่อว่า “การเงิน” นี่แหละครับ

           หลายคนมักจะปลอบตัวเองว่า "มีเงินไปก็ใช่ว่าจะมีความสุข" แต่รับรองเลยครับว่า ถ้าไม่มีเงินเนี่ย ชีวิตได้เจอความทุกข์อย่างแน่นอน 
           และเมื่อเรื่องเงินเป็นเรื่องใหญ่ เราต้องหาวิธีที่จะมีเงินเพิ่มให้จนได้...แต่เอ๊ะ!! แล้วเราจะหาเงินเพิ่มได้ยังไงดีล่ะ เคล็ดลับตรงนี้ มันอยู่ สมการเงินออม ด้านล่างนี้เลยครับ ง่ายมากๆเลยครับ

      สมการเงินออม >>> เงินออม = รายรับ – รายจ่าย

           วิธีการง่ายๆ ในการเพิ่มเงินออม คือ เพิ่มรายรับ หรือ ลดรายจ่าย นั่นเอง แต่เอ๊ะ วิธีไหนมันจะดีกว่ากันนะ... ถ้าลดรายจ่ายเราทำได้ทันที แต่เพิ่มรายได้นี่ต้องใช้เวลา แต่น่าสนใจในระยะยาว 
           
           เอาเป็นว่าเขาแนะนำทั้งสองวิธีเลยละกันครับ
           
           เริ่มต้นจากการ ลดรายจ่าย โดยการตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปให้หมด เหลือไว้เพียงค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเท่านั้น หลังจากนั้นเราค่อยมาเพิ่ม “รายได้” กันดีกว่า 

           แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า... เราจะเพิ่มรายได้ยังไงดีละเนี่ย

      "สิ่งสำคัญที่สุดที่เราทุกคนควรจะระวังไว้ นั่นคือ  Passive Income ที่จะมาช่วยทำงานสร้างเงินให้เรานั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพียงแค่เอาเงินไปลงทุนแล้วจะได้กลับมาในทันทีทันใด แต่เราต้องใช้ทั้งความรู้ ความเข้าใจ รวมถึงประสบการณ์อีกมากมายในการตัดสินใจ"


      วิธีการเพิ่มรายได้
           ก่อนที่จะไปถึงเรื่องการเพิ่มรายได้ เราต้องเข้าใจก่อนครับว่า รายได้นั้นมี 2 ประเภท คือ รายได้หลัก หรือ Active Income กับ รายได้ทางอ้อม หรือ Passive Income

           Active Income คือ รายได้ที่เกิดขึ้นเมื่อเราทำงาน ถ้าเกิดวันดีคืนดีเราหยุดทำงาน หรือทำงานไม่ได้ เงินก็หายไปทันทีเลยจ้า เช่น งานประจำที่ทำอยู่ งานรับจ้าง งานขายของทั้งหลาย ล้วนเป็น Active Income ทั้งนั้น และถ้าเราจะเพิ่ม Active Income นั่นก็แปลว่าเราต้องเพิ่มเวลาทำงานให้มากขึ้น หรือไม่ก็เพิ่มความสามารถของตัวเองเพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนจากการทำงานมากขึ้น

           Passive Income คือ รายได้ที่ไม่ต้องใช้เวลาทำงานเพื่อแลกเงิน แต่กลับสร้างรายได้ให้กับเราเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก ทีนี้ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ เริ่มสงสัยแล้วใช่ไหมครับว่า Passive Income ที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง และเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปกว่านี้ เรามาดูกันเลยดีกว่าว่า 4 วิธี Hot Hit เพื่อให้เงินทำงานแทนคุณกันเลยดีกว่าครับ

           1. สร้างรายได้จากอินเตอร์เน็ตผ่าน Affiliate Marketing
      การสร้างรายได้วิธีนี้ จะเริ่มต้นที่เราทำการโปรโมตสินค้า บริการ หรือเว็บไซท์ใดๆก็ได้ที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ต และสร้างรายได้จากการกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น การคลิกลิงค์ การขายสินค้า หรือแม้แต่การสมัครสมาชิก โดยเราจะได้ค่านายหน้าตามแต่เปอร์เซ็นต์ที่เจ้าของสินค้าหรือบริการนั้นเป็นผู้กำหนด สำหรับ Passive Income วิธีนี้ บางคนอาจจะเริ่มต้นจากการทำเวปไซด์ ทำบล็อก แล้วเขียนบทความต่างๆเข้าไป เพื่อโปรโมตสินค้า หลังจากนั้นถ้าประสบความสำเร็จ มีคนเข้าเวปมากมาย ก็เตรียมตัวรอรับเงินได้เลยครับ

           2. ทำธุรกิจเครือข่าย (MLM) หรือ การตลาดแบบขายตรง นั่นคือ การเสนอขายสินค้าแบบบุคคลต่อบุคคล โดยบริษัทผู้ประกอบการจะนำเสนอโอกาสทางธุรกิจให้กับนักขายตรงอิสระทั่วไป โดยได้รับผลตอบแทนจากสินค้าที่ขายได้และการหาลูกข่าย และ เมื่อไรที่เราได้เลื่อนชั้นขึ้นมาในระดับที่องค์กรกำหนดไว้ เราก็จะได้รับผลตอบแทนจากลูกข่ายและสินค้าที่ลูกข่ายขายได้ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไปแต่มีเงินใช้แบบสบายๆเลยจ้า

           3. ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งที่ดินให้เช่า การสร้างหอพัก คอนโด โรงแรม และทรัพย์สินอื่นๆอีกมากมาย โดยมีรายได้จากค่าเช่าที่ผู้เช่าจ่ายให้ แถมยังได้กำไรจากราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง หรืออย่างที่ใครเขาเรียกว่า “เสือนอนกิน” ครับ

           4. ลงทุนในสินทรัพย์การเงินต่างๆ เช่น หุ้น กองทุนรวม ทองคำ ฯลฯ โดยการลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้ มันอยู่ที่ว่าเรามีความเข้าใจเรื่องการลงทุนและยอมรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน

          สำหรับบางคนที่มีความเข้าใจเรื่องการลงทุน และยอมรับความเสี่ยงได้มาก อาจจะเลือกลงทุนในหุ้นรายตัว ทองคำ หรือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงอื่นๆ เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้

           แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการสร้าง Passive Income นั้นยังมีอีกมากมายครับ ซึ่งแต่ละวิธีนั้นก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความถนัดและถูกใจกับแบบไหนมากกว่าครับ

      อย่าลืมนะครับว่า...การลงทุนมีความเสี่ยง
      ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและโปรดศึกษาหนังสือชี้ชวนก่อนการตัดสินใจลงทุน