“เมื่อคิดจะรูดบัตรเครดิต ควรกันเงินส่วนหนึ่งไว้ให้เท่ากับจำนวนเงินที่รูดบัตรไปทุกครั้ง เพื่อเตรียมจ่ายแบบเต็มจำนวนและตรงเวลา ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้มีภาระดอกเบี้ยจ่ายและไม่ถูกยกเลิกระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยในรอบบัญชีถัดไป”
บัตรเครดิตถือเป็นไอเท็มยอดฮิตที่ทุกคนจะมีในกระเป๋าสตางค์ เพราะเวลาไปช็อปปิ้งที่ไหนก็สามารถหยิบออกมาใช้ได้ตลอดเวลา ด้วยความที่รูดง่าย จ่ายไว บางคนก็เลยไม่สนใจวางแผนการใช้จ่ายบัตรเครดิตกันสักเท่าไร ทำให้พอถึงกำหนดจ่ายเงินแล้วก็ไม่มีเงินไปจ่ายแบบเต็มจำนวน แถมยังมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับผลลัพธ์ที่ตามมาหลังจากรูดบัตรแล้วจ่ายไม่เต็มอีกด้วย ซึ่งเรื่องที่เราต้องรู้ หากคิดจะจ่ายบัตรไม่เต็มมีอะไรบ้าง ธนาคารมีคำตอบมาฝากครับ
1. ถูกคิดดอกเบี้ยทันทีตั้งแต่วันที่เราซื้อของ
เรื่องนี้หลายคนชอบคิดไปเองว่า หากเรารูดบัตรแล้วจ่ายไม่เต็มจะถูกคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่เราค้างจ่ายบัตรเครดิต คือค้างจ่ายวันไหนก็จะถูกคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แต่จริงๆ แล้วไม่เป็นเช่นนั้นครับ เพราะเราจะถูกคิดดอกเบี้ยสูงสุด 15-20% ต่อปีทันทีตั้งแต่วันที่เราซื้อของ หรือวันที่สถาบันผู้ออกบัตรจ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการแทนเราไปก่อน และคิดเป็นรายวันจนกว่าเราจะชำระหนี้หมดด้วย เช่น
ถ้าเราไปช็อปปิ้งเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2560 โดยรูดบัตรไป 50,000 บาท พอถึงวันครบกำหนดชำระคือวันที่ 20 มีนาคม 2560 แล้วไม่มีเงินไปจ่ายแบบเต็มจำนวน จึงจ่ายไปเพียง 30,000 บาทเท่านั้น ดังนั้น เราจะถูกคิดดอกเบี้ยทันทีตั้งแต่วันที่รูดบัตร (8 กุมภาพันธ์ 2560) ไม่ใช่วันที่เราเริ่มค้างจ่ายบัตรเครดิต (20 มีนาคม 2560) อย่างที่เข้าใจกันครับ
2. ถูกคิดดอกเบี้ยทั้งจากยอดเงินที่ค้างจ่ายและยอดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดในรอบบัญชีนั้นเรื่องนี้หลายคนชอบคิดไปเองว่า หากเรารูดบัตรแล้วจ่ายไม่เต็มจะถูกคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่เราค้างจ่ายบัตรเครดิต คือค้างจ่ายวันไหนก็จะถูกคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แต่จริงๆ แล้วไม่เป็นเช่นนั้นครับ เพราะเราจะถูกคิดดอกเบี้ยสูงสุด 15-20% ต่อปีทันทีตั้งแต่วันที่เราซื้อของ หรือวันที่สถาบันผู้ออกบัตรจ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการแทนเราไปก่อน และคิดเป็นรายวันจนกว่าเราจะชำระหนี้หมดด้วย เช่น
ถ้าเราไปช็อปปิ้งเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2560 โดยรูดบัตรไป 50,000 บาท พอถึงวันครบกำหนดชำระคือวันที่ 20 มีนาคม 2560 แล้วไม่มีเงินไปจ่ายแบบเต็มจำนวน จึงจ่ายไปเพียง 30,000 บาทเท่านั้น ดังนั้น เราจะถูกคิดดอกเบี้ยทันทีตั้งแต่วันที่รูดบัตร (8 กุมภาพันธ์ 2560) ไม่ใช่วันที่เราเริ่มค้างจ่ายบัตรเครดิต (20 มีนาคม 2560) อย่างที่เข้าใจกันครับ
มีอีกหลายคนเช่นกันที่มักเข้าใจว่า หากเรารูดบัตรแล้วจ่ายไม่เต็มจะถูกคิดดอกเบี้ยเฉพาะยอดเงินที่เราค้างจ่ายเท่านั้น เช่น จากตัวอย่างข้างต้น เราค้างจ่ายอยู่ 20,000 บาท ดังนั้น ดอกเบี้ยก็ควรจะคิดจากยอด 20,000 บาทที่เรายังค้างจ่ายอยู่นี้ แต่ในความเป็นจริง นอกจากจะถูกคิดดอกเบี้ยจากยอดเงินที่ค้างจ่ายแล้ว เรายังถูกคิดดอกเบี้ยจากยอดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดในรอบบัญชีนั้นด้วย เพื่อความเข้าใจมากขึ้น ลองมาดูตัวอย่างวิธีคิดดอกเบี้ยกันครับ
วันที่สรุปยอด
|
วันครบกำหนดชำระ
|
ยอดชำระเต็มจำนวน
|
ยอดชำระขั้นต่ำ
|
5 มีนาคม 2560
|
20 มีนาคม 2560
|
50,000
|
5,000
|
วันที่ใช้บัตร
|
วันที่บันทึกรายการ
|
รายการ
|
ยอดเงิน
|
8 กุมภาพันธ์ 2560
|
8 กุมภาพันธ์ 2560
|
Notebook
|
50,000
|
ดอกเบี้ยส่วนแรก จะคิดจากยอดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดในรอบบัญชีที่แล้ว คือ ยอดเงิน 50,000 บาท โดยจำนวนวันที่คิดดอกเบี้ยจะนับจากวันที่เราใช้จ่าย (8 กุมภาพันธ์ 2560) จนถึงวันก่อนที่ธนาคารจะได้รับชำระเงิน (19 มีนาคม 2560) รวม 40 วัน
(50,000 x 20% x 40) / 365 = 1,096 บาท
ดอกเบี้ยส่วนที่สอง จะคิดจากยอดเงินต้นคงเหลือ คือ 50,000 - 30,000 = 20,000 บาท โดยจำนวนวันที่คิดดอกเบี้ยจะนับจากวันที่เราชำระเงินบางส่วน (20 มีนาคม 2560) จนถึงวันสรุปยอดรายการในเดือนถัดไป (5 เมษายน 2560) รวม 17 วัน
(20,000 x 20% x 17) / 365 = 186 บาท
รวมดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในงวดแรกเท่ากับ 1,096 + 186 = 1,282 บาท โดยหากเรายังไม่มีเงินไปปิดหนี้บัตรเครดิต ทำให้มียอดค้างจ่ายอยู่ก็จะถูกคิดดอกเบี้ยวนไปครับ
3.หากใช้บัตรเครดิตใบเดิมไปรูดซื้อของ ยอดใช้จ่ายที่เกิดขึ้นใหม่จะถูกคิดดอกเบี้ยไปด้วย
หลายคนคิดว่า หากเรารูดบัตรแล้วจ่ายไม่เต็ม ก็ยังใช้บัตรเครดิตใบเดิมไปรูดซื้อของได้อีก โดยยอดใช้จ่ายที่เกิดขึ้นใหม่ ไม่ถูกคิดดอกเบี้ยเพราะเป็นคนละส่วนกัน แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า หากทำแบบนั้น ยอดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นใหม่จะถูกคิดดอกเบี้ยไปด้วย เพราะเราได้ถูกยกเลิกระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยในรอบบัญชีถัดไปแล้วนั่นเอง ดังนั้น แนะนำให้หยุดใช้บัตรเครดิตใบเดิมไปก่อน แล้วรีบหาเงินมาชำระหนี้บัตรให้หมด หลังจากนั้นถึงจะใช้บัตรเครดิตใบเดิมได้ตามปกติครับ
หลายคนคิดว่า หากเรารูดบัตรแล้วจ่ายไม่เต็ม ก็ยังใช้บัตรเครดิตใบเดิมไปรูดซื้อของได้อีก โดยยอดใช้จ่ายที่เกิดขึ้นใหม่ ไม่ถูกคิดดอกเบี้ยเพราะเป็นคนละส่วนกัน แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า หากทำแบบนั้น ยอดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นใหม่จะถูกคิดดอกเบี้ยไปด้วย เพราะเราได้ถูกยกเลิกระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยในรอบบัญชีถัดไปแล้วนั่นเอง ดังนั้น แนะนำให้หยุดใช้บัตรเครดิตใบเดิมไปก่อน แล้วรีบหาเงินมาชำระหนี้บัตรให้หมด หลังจากนั้นถึงจะใช้บัตรเครดิตใบเดิมได้ตามปกติครับ
มาถึงตรงนี้ น่าจะทำให้ใครหลายคนได้รู้และเข้าใจแล้วว่า หากรูดบัตรแล้วจ่ายไม่เต็มจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทางที่ดีแนะนำว่า เมื่อรูดบัตรเครดิตไปเท่าไร ให้กันเงินเท่ากับจำนวนที่รูดบัตรไปทุกครั้ง เพื่อเตรียมจ่ายแบบเต็มจำนวนและตรงเวลา นอกจากจะเป็นการสร้างวินัยในการใช้บัตรเครดิตแล้ว ยังช่วยให้เรามั่นใจว่าจะมีเงินไปจ่ายแบบเต็มจำนวนเมื่อถึงเวลา และไม่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายตามมาให้ต้องปวดหัวอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น